การตายและคดีในชั้นศาล ของ หว่อง อากิ๊ว

หว่องเสียชีวิตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2549 ภายในบ้านของเธอที่ตามันอินดะฮ์ ขณะอายุได้ 88 ปี[1] เมื่อครอบครัวของเธอไปสถานีตำรวจท้องที่เพื่อแจ้งตาย เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับเรื่องรู้สึกสับสนกับข้อมูลในบัตรประจำตัวประชาชนของเธอที่ระบุว่าเธอเป็นชาวมลายู นับถือศาสนาอิสลาม แต่คนในครอบครัวกลับเป็นชาวจีน ที่นับถือศาสนาพุทธทั้งหมด ภายหลังเจ้าหน้าที่รายนี้ได้แจ้งข้อมูลไปยังกรมการศาสนารัฐเนอเกอรีเซิมบีลัน[8] กรมการศาสนาได้สั่งการให้ศาลชะรีอะฮ์เมืองตัมปินออกคำสั่งให้ระงับการฝังศพของเธอหลังมีข้อมูลว่าเธอเป็นชาวมลายู สภากิจการอิสลามรัฐเนอเกอรีเซิมบีลันได้ยื่นคำร้องต่อศาลสูงชะรีอะฮ์ประจำเมืองเซอเร็มบันเกี่ยวกับการปลงศพของเธอ[1][3] หัวหน้ากรมการศาสนารัฐเนอเกอรีเซิมบีลันเดินทางไปที่บ้านของหว่องด้วยตัวเอง และสั่งการให้ครอบครัวหว่องฝังศพเธอตามธรรมเนียมพิธีอิสลาม[9] อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลชะรีอะฮ์ได้รับฟังคำให้การจากลูก ๆ ของหว่อง ว่าเธอเป็นชาวพุทธและขอตายในฐานะพุทธศาสนิกชน ในวันจันทร์ถัดมา ศาลได้ตัดสินว่าหว่องไม่ใช่ชาวมุสลิมเมื่อเสียชีวิต และอนุญาตให้ครอบครัวจัดงานปลงศพแก่หว่องตามธรรมเนียมพุทธ ร่างของหว่องถูกฝังเคียงข้างสามีในสุสานจีนที่ซิมปังอัมปัต อำเภออาโลร์กาจะฮ์ อันเป็นบ้านเกิดของเธอ[3]

คดีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการเบิกพยานที่ไม่ใช่มุสลิมในศาลชะรีอะฮ์ของมาเลเซีย ผู้ไม่ใช่ชาวมุสลิมจะไม่ได้รับการอนุญาตเริ่มคดีในศาลชะรีอะฮ์ แต่ก็ไม่ได้ห้ามพยานนอกศาสนาขึ้นให้การอย่างเป็นทางการ มีรายงานว่า ชนกลุ่มน้อยทางศาสนาในประเทศรู้สึกโล่งใจกับคำตัดสินดังกล่าว แต่ก็มีกลุ่มหนึ่งระบุว่าการตัดสินของศาลนั้น "ไม่สอดคล้องกับการคุ้มครอง [พวกเขา]" ซึ่งเป็นคนนอกศาสนาอิสลาม[5] นอกจากนี้แม้ว่าศาลจะตัดสินอนุญาตแก่ครอบครัวหว่องไปแล้ว แต่ฮันนี ตัน โฆษกสมาคมกฎหมาย อ้างถึงรัฐธรรมนูญมาตรา 11 วิจารณ์คำตัดสินดังกล่าวว่า "ศาลไม่ได้ให้เพียงการเยียวยาความคับข้องใจที่ยกขึ้นโดยโจทก์ด้วยเหตุผลตามรัฐธรรมนูญ"[2] และคดีของหว่องเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หน่วยงานศาสนา สอบถามข้อมูลจากสมาชิกในครอบครัวของผู้วายชนม์ในการเป็นพยาน เพื่อให้ศาลตัดสินว่าผู้ตายยังมีสถานะเป็นมุสลิมอยู่หรือไม่ โดยส่วนใหญ่แล้วผู้คนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่กรณีของเอ็ม. มูรที หนึ่งในสมาชิกในทีมผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ของมาเลเซีย เขาเติบโตในครอบครัวที่นับถือศาสนาฮินดู แต่ถูกกล่าวอ้างว่าเขาเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม โดยที่ครอบครัวไม่ทราบเรื่องดังกล่าว ศพของเขาถูกฝังไว้ตามธรรมเนียมอิสลาม และมีรายงานว่าครอบครัวของเขาเพิกเฉยต่อหมายศาลที่ออกโดยศาลชะรีอะฮ์ในท้องที่[10]

แหล่งที่มา

WikiPedia: หว่อง อากิ๊ว http://www.malaysiakini.com/news/46151 http://www.sun2surf.com/article.cfm?id=16494 http://www.bernama.com.my/bernama/v3/news_lite.php... http://www.guangming.com.my/gmgn.phtml?sec=193&sda... http://www.guangming.com.my/gmgn.phtml?sec=193,16&... http://bpms.kempen.gov.my/index.php?option=com_con... http://besonline.rtm.net.my/modules.php?op=modload... http://english.aljazeera.net/English/archive/archi... http://www.suaram.net/index2.php?option=com_conten... https://web.archive.org/web/20070929082415/http://...